ควรขยายกรอบเงินเฟ้อ จี้ “แบงก์ชาติ” ดำเนินการ 4 เรื่อง ลดช่วงห่างเงินกู้-เงินฝาก, กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่แข่งขันได้ , เพิ่มสภาพคล่องที่ฝืดเคือง และ สนับสนุนการแก้ไขหนี้ที่สูงมาก แนะ ต้องอย่าคิดได้แค่กำกับควบคุม แต่ต้องคิดด้วยว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจอย่างไร
วันที่ 24 มิถุนายน 2567 นายพิขัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ การพาณิชย์ การเงินการคลัง พลังงาน การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า สถาบันการจัดการนานาชาติ (IMD) จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ไทยอยู่ในอันดับที่ 25 ขึ้นมา 5 อันดับจากอันดับที่ 30 และเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์
สาเหตุหลักจากปัจจัยการค้าระหว่างประเทศ ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 23 อันดับ จากอันดับ 29 ในปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 6 แสดงถึงการยอมรับของประเทศไทยในนานาชาติดีขึ้นมาก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่นายเศรษฐา ทวีสิน เดินทางไปพบผู้นำและนักลงทุนของประเทศต่างๆ (ธปท.)
ทั้งนี้ ตามที่ผู้ว่าฯ ธปท.ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ มีหลายประเด็นที่น่าจะเข้าใจไม่ตรงกัน และท่านผู้ว่าฯน่าจะไปศึกษาข้อมูลให้ชัดเจน เช่น การขยายกรอบเงินเฟ้อซึ่งผู้ว่าฯ ธปท.เห็นว่าดีอยู่แล้ว แต่รัฐบาลอยากจะขยายกรอบเงินเฟ้อให้สูงขึ้น
ทั้งนี้ เพราะปีที่แล้วเงินเฟ้อไทยต่ำลงมากตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2566 เหลือเพียง 0.53% จากเดือนมกราคม 2566 ที่มีเงินเฟ้อสูงถึง 5.02% และต่ำมาตลอด หลังจากนั้นคือ มิ.ย. 66 ที่ 0.23% ก.ค. 66 ที่ 0.35% ส.ค. 66 ที่ 0.88% และ ก.ย. 66 ที่ 0.30%
จนเงินเฟ้อมาติดลบในเดือนตุลาคม 66 ที่ -0.31% และ ติดลบต่อไปจนทั้งหมด 6 เดือน คือ พ.ย. 66 ที่ -0.44% ธ.ค. 66 ที่ -0.83% ข้ามปีมายังติดลบ ม.ค. 67 ที่ -1.11% ก.พ. 67 ที่ -0.77% มี.ค. 67 ที่ -0.47% ดังนั้น ที่เงินเฟ้อมาบวกในเดือนพฤษภาคม 2567 ที่ 1.54% ก็เพราะปีที่แล้วต่ำมากนั่นเอง และเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะบวกไปถึงสิ้นปีถึงต้นปี’68 เพราะมาจากเงินเฟ้อตั้งแต่กลางปีที่แล้วต่ำถึงติดลบนั่นเอง
ดังนั้น กรอบการขยายตัวเงินเฟ้อจึงควรสูงขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งอย่านำกรอบเงินเฟ้อของประเทศที่พัฒนาแล้วมาใช้กับประเทศกำลังพัฒนาแบบไทย เพราะเทียบกันไม่ได้ อีกทั้งที่ผ่านมากว่า 10 ปี เงินเฟ้อของไทยยังน้อยกว่าเงินเฟ้อของสหรัฐมาก นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ และประเทศในอาเซียนที่ขยายตัวสูงก็มีเงินเฟ้อที่สูงกว่าไทยมาก
อยากให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า เงินเฟ้อต่ำแปลว่าถ้าต้นทุนสินค้าต้องเพิ่มขึ้นทุกปีตามราคาปัจจัยการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามวัฏจักรของโลก ทั้งวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าพลังงาน ค่าขนส่ง ฯลฯ แต่ราคาสินค้าขึ้นราคาไม่ได้ ธุรกิจต่าง ๆ ก็จะต้องขาดทุน และ ปิดกิจการ ดังจะเห็นได้จากโรงงานจำนวนมากที่ต้องปิดกิจการกันตอนนี้ ดังนั้น การมีกรอบเงินเฟ้อที่จะขยายกว้างจะทำให้เศรษฐกิจไหลเวียนมากขึ้น โดยตามหลักเศรษฐศาสตร์สภาวะเศรษฐกิจที่มีเงินเฟ้ออ่อน ๆ (Mild Inflation) จะเป็นสภาวะเศรษฐกิจที่ดีที่สุด แต่ระดับเงินเฟ้อในประเทศพัฒนาแล้วและในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยจะมีลักษณะที่ต่างกัน
นี่เป็นแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผู้ว่าฯแบงก์ชาติยังไม่ได้ตอบ และยังไม่ได้ดำเนินการใน 4 เรื่องดังนี้คือ
แค่ค่าเงินบาทยังแข็งค่า โดยเปรียบเทียบแบบนี้ ประเทศไทยจะแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้อย่างไร โดยเฉพาะประเทศมาเลเซียที่เป็นประเทศที่มีรายได้สูงแล้ว ค่าเงินยังอ่อนลงมาก (จากในอดีต 3.8 ริงกิต/ดอลลาร์ เป็น 4.7 ริงกิต/ดอลลาร์) เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ทั้ง Microsoft, Google, ByteDance (TikTok) ฯลฯ เข้าไปลงทุนกันมากรายละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐใช่หรือไม่
ผู้ว่าฯ ธปท.จะต้องเข้าใจว่า ธปท.ไม่ใช่มีบทบาทแค่กำกับควบคุมอย่างเดียว แต่จะต้องมีบทบาทในการสนับสนุนให้ประเทศพัฒนาและเศรษฐกิจไทยขยายตัวให้มากขึ้นด้วย เหมือนที่ธนาคารกลางประเทศอื่นทำ แม้แต่ในสหรัฐ ผู้ว่าฯ ธปท.น่าจะทราบดีว่านโยบายการเงินมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจมากกว่านโยบายการคลังมาก
ธปท.จะมาพอใจที่เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 2-3% ไม่ได้ เพราะไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น ธปท.ต้องช่วยกันคิดว่าจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้อย่างไร ถ้าจะตำหนิ หรือบอกว่าไม่เห็นด้วยว่าไม่ทำเรื่องโน้น ไม่ทำเรื่องนี้
ธปท.ก็ควรจะต้องเสนอด้วยว่า ธปท.จะช่วยทำเรื่องใด อย่างไรบ้าง มีแนวทางอะไรบ้างที่จะสนับสนุนได้ จะเพิ่มสภาพคล่องอย่างไร จะช่วยแก้ไขหนี้ลดหนี้อย่างไร ไม่ใช่เพียงแต่พูดขัดขวางอย่างเดียว แต่ไม่มีข้อเสนอในแนวทางสร้างสรรค์เลย ประเทศที่จะพัฒนาได้ธนาคารกลางจะต้องสนับสนุนนโยบายการเงินในการพัฒนาประเทศอย่างเต็มที่ เหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วไป
ผู้ว่าฯ ธปท.จะต้องพิจารณาว่าที่ผ่านมาผลงานของ ธปท.ที่สนับสนุนเศรษฐกิจเป็นอย่างไร เหตุใดตั้งแต่เป็นผู้ว่าฯ ธปท.มาตั้งแต่ปี’63 แต่เศรษฐกิจไทยยังไม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเลย (เพิ่งจะฟื้นจากช่วงโควิดที่ติดลบ -6.1%) ในขณะที่ประเทศอื่นเขาฟื้นไปไกลขยายเกินไป 15-20% กันแล้ว
ทั้งนี้ หากรวบรวมเก็บข้อมูล BigData ของ ธปท.เทียบกับ ธนาคารกลางของเหล่าประเทศคู่แข่งของไทย และตรวจสอบด้วย AI ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่า ธปท.มีประสิทธิภาพขนาดไหนเมื่อเทียบกับธนาคารกลางของประเทศคู่แข่ง ซึ่งจะได้คำตอบว่าทำไมเศรษฐกิจไทยถึงได้ย่ำแย่กว่าประเทศคู่แข่งมาก… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1592412