วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 แบงก์ชาติ เปิดผลประชุม กนง.

แบงก์ชาติ เปิดผลประชุม กนง. ห่วงชักดาบหนี้นอกระบบพุ่ง

วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 แบงก์ชาติ เปิดผลประชุม กนง.

ห่วงชักดาบหนี้นอกระบบพุ่ง ธปท.เปิดรายงานการประชุมร่วม กนง.-กนส.เผยการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 กระทบรายได้ครัวเรือนเปราะบาง ดันหนี้ครัวเรือนพุ่ง 90.5% ของจีดีพี หนุนแบงก์เร่งปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก-ฟื้นฟูรายได้ ห่วงภาวะดอกเบี้ยต่ำทำคนแสวงหาผลตอบแทนสูงเสี่ยงผลวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น ลั่นพร้อมประสานหน่วยงานกำกับออกมาตรการดูแลเพิ่มเติม
     วันที่ 12 กรกฎาคม 2564 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่าง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
      โดยที่ประชุมเห็นว่าระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจประกันภัยมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ขณะที่ตลาดการเงินมีเสถียรภาพและสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ โดยการทดสอบภาวะวิกฤตระดับมหภาค (macro stress test) ที่หน่วยงานกำกับดูแลจัดทำ พบว่า ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม และบริษัทประกันภัย มีสภาพคล่องเพียงพอและมีฐานะทางการเงินที่สามารถรองรับภาวะวิกฤตได้
อย่างไรก็ดี สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากการกลายพันธุ์ของไวรัส อีกทั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้าลงและไม่ทั่วถึงส่งผลให้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีความเปราะบางเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงอยู่เดิมทำให้ครัวเรือนกลุ่มที่มีรายได้น้อยยิ่งมีความเปราะบาง
แม้ที่ผ่านมาทางการได้มีมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาภาระทางการเงินแก่ภาคครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง (เช่น มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 1-3) แต่ยังไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องเตรียมมาตรการเพื่อดูแลความเสี่ยงดังกล่าวเพิ่มเติมอย่างตรงจุดและทันการณ์ ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง
     เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและไม่ให้เกิดแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (economic scar) ที่รุนแรงจนเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวและส่งผ่านความเสี่ยงไปยังระบบการเงินได้ ที่ประชุมได้ประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านและให้น้ำหนักกับการดูแลความเสี่ยงใน 2 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 90.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ(GDP) และวิกฤตโควิด-19 ได้ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากมีปัญหาในการชำระหนี้ ซึ่งจะเป็นปัญหามากยิ่งขึ้น ในช่วงวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยหรือเศรษฐกิจเผชิญความผันผวนสูงแม้ที่ผ่านมา ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการช่วยเหลือและเข้าไปดูแลปัญหาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด แต่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น
     ดังนั้น มาตรการเร่งด่วน คือ การเร่งผลักดันและกำหนดกลไกเพื่อจูงใจให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้สูงอย่างจริงจัง โดยมีการติดตามความคืบหน้าและประสิทธิผลของการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างใกล้ชิด
     อย่างไรก็ดี จากการประเมินเบื้องต้น ขนาดของความช่วยเหลือที่ภาคครัวเรือนต้องการอาจสูงเกินกว่าที่จะให้เป็นภาระของสถาบันการเงินเพียงฝ่ายเดียว จึงจำเป็นต้องพิจารณาบทบาทของภาครัฐและตลาดทุนประกอบไปด้วย
     นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนมีความซับซ้อนในการแก้ไข เนื่องจากต้องคำนึงถึงความเสี่ยงต่อการเกิด moral hazard และเกือบ 1 ใน 4 ของตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ ธปท. เผยแพร่เป็นหนี้ของสถาบันการเงินที่อยู่นอกการกำกับดูแลของ ธปท. และตัวเลขนี้ยังไม่ได้นับรวมหนี้บางชนิด เช่น หนี้นอกระบบ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนจึงจำเป็นต้องทำแบบองค์รวม อีกทั้งควรเร่งฟื้นฟูรายได้ของครัวเรือนอย่างยั่งยืนควบคู่ไป เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างครบวงจร
     สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนในระยะยาวนั้น ต้องมีการเตรียมการทั้งในเรื่อง (1) โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลเครดิตที่ครอบคลุมภาระหนี้ทั้งหมดของครัวเรือน (2) การผลักดันให้เจ้าหนี้ให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending) (3) การส่งเสริมให้ลูกหนี้มีความเข้าใจและมีวินัยทางการเงิน และ (4) การส่งเสริมให้มีผู้ให้บริการทางการเงินทางเลือกเพื่อช่วยลดหนี้นอกระบบ
 
2. การสะสมความเสี่ยงในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยในระยะข้างหน้า เช่น พฤติกรรมของนักลงทุนบางกลุ่มที่แสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยประเมินความเสี่ยงของการลงทุนต่ำกว่าที่ควร (search for yield behavior) ซึ่งอาจได้รับผลกระทบเมื่อมีการปรับขึ้นของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ย
     จึงจำเป็นต้องพิจารณากรอบและแนวทางในการดำเนินมาตรการดูแลเสถียรภาพระดับมหภาค (Macro-prudential) ให้พร้อมใช้ในกรณีที่จำเป็นหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง โดยบูรณาการร่วมกันระหว่าง ธปท. และหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เพื่อช่วยลดการสะสมความเสี่ยงและป้องกันการส่งผ่านความเสี่ยงจากภาคส่วนหนึ่งไปยังภาคส่วนอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจการเงิน
     ทั้งนี้ในภาวะที่สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจการเงินยังมีความไม่แน่นอน หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง ธปท. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจะร่วมกันประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ ติดตามความเพียงพอและประสิทธิผลของมาตรการที่ดำเนินการไปแล้วอย่างใกล้ชิด และผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
     รวมทั้งเตรียมพร้อมออกมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อจำกัดผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยและสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยจะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและปรับแนวทางการกำกับดูแลร่วมกันให้สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป
 
 
ติดตามเราได้ที่ :
Tel: 063-282-3651
FB: moneyandwealthplus